ข้อบ่งใช้
ยา โวริโคนาโซล ใช้สำหรับ
ยาโวริโคนาโซล (Voriconazole) เป็นยาต้านเชื้อรากลุ่มไตรอะโซล (triazole) มักใช้เพื่อรักษาการติดเชื้อรา เช่น การติดเชื้อราแคนดิดาแบบลุกลาม (invasive candidiasis) การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม (invasive aspergillosis) และการติดเชื้อรารุนแรงอื่นๆ ยานี้มักจะใช้กับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
วิธีการใช้ยา โวริโคนาโซล
ฉีดยาโวริโคนาโซลตามที่แพทย์กำหนด ควรอ่านข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับและทำตามแนวทางการใช้ยาอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุดควรใช้ยาให้ครบตามกำหนด
ควรใช้ยานี้อย่างต่อเนื่อง ตามที่แพทย์หรือผู้ดูแลสุขภาพกำหนด แม้ว่าคุณจะรู้สึกเป็นปกติแล้วก็ตาม
การเก็บรักษายา โวริโคนาโซล
ยา โวริโคนาโซล ควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาโวริโคนาโซลบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยา โวริโคนาโซล ลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นแต่ได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง เมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา โวริโคนาโซล
ก่อนการใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหาก
- คุณกำลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เนื่องจากในช่วงที่คุณกำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
- หากคุณกำลังใช้ยาอื่นอยู่ รวมทั้งยาที่หาซื้อได้เอง เช่น สมุนไพรหรือยาทางเลือกอื่นๆ
- หากคุณแพ้สารออกฤทธิ์หรือไม่ออกฤทธิ์ ของยาโวริโคนาโซลหรือยาอื่นๆ
- หากคุณมีอาการป่วย มีความผิดปกติ หรือมีสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ
- หากคุณมีระดับแคลเซียมต่ำ
- หากคุณมีปัญหาสุขภาพอย่างเช่น ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมต่ำ
- หากคุณกำลังใช้ยาดังต่อไปนี้ คือ แอสเทมมีโซล (Astemizole) คาร์บาเมเซพีน (carbamazepine) ซิซาไพรด์ (cisapride) ไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) เอฟฟาไวเร็นซ์ (efavirenz) เออร์โกโนวีน (ergonovine) เออร์โกตามีน (ergotamine) เอเวอโรลิมัส (everolimus) ฟลูโคนาโซล (fluconazole) เมทิลเออร์โกโนวีน (methylergonovine) ฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital)
- หรือยาอื่นที่คล้ายกับยานี้ พิโมไซด์ (pimozide) ควินิดีน (quinidine) ไรฟาบูติน (rifabutin) ไรแฟมพิน (rifampin) ริโทนาเวียร์ (ritonavir) ไซโรลิมัส (sirolimus) สมุนไพรเซนต์จอห์น (St John’s wort) หรือเทอร์เฟนาดีน (terfenadine)
แจ้งให้ผู้ดูแลสุขภาพทั้งหมดของคุณทราบว่า คุณกำลังใช้ยานี้ ทั้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และทันตแพทย์
หลีกเลี่ยงการขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัวหรือการมองเห็นที่ชัดเจน จนกว่าคุณจะทราบว่ายาโวริโคนาโซลส่งผลต่อคุณอย่างไร
หลีกเลี่ยงการขับรถในตอนกลางคืน
ควรทำการตรวจดวงตา หากคุณใช้ยานี้เป็นเวลานาน โปรดปรึกษากับแพทย์เพิ่มเติม
ควรทำการตรวจการทำงานของเลือดตามที่แพทย์กำหนด โปรดปรึกษากับแพทย์เพิ่มเติม
อย่าใช้ยานี้นานกว่าที่กำหนด เพราะอาจเกิดติดเชื้อครั้งที่สอง
คุณอาจมีอาการแดดเผาได้ง่ายขึ้น ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันจากแสงแดด
แสงจ้านั้นอาจรบกวนคุณได้ ควรสวมแว่นกันแดด
อาจเกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติที่ไม่ปลอดภัยอย่างอาการระยะคิวทียาวเมื่อใช้ยาโวริโคนาโซลผู้ที่ใช้ยานี้อาจเกิดการเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน แต่พบไม่บ่อย โปรดปรึกษากับแพทย์เพิ่มเติม
ควรระมัดระวังการใช้ยานี้ในเด็ก โปรดปรึกษากับแพทย์เพิ่มเติม
ควรมีการคุมกำเนิดที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ระหว่างใช้ยาโวริโคนาโซล
ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หากคุณใช้ยาระหว่างตั้งครรภ์ หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือเกิดตั้งครรรภ์ขณะที่กำลังใช้ยานี้ โปรดติดต่อแพทย์ในทันที
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณกำลังให้นมบุตร คุณจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อลูกของคุณ
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาโวริโคนาโซลจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ หมวด D โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา โวริโคนาโซล
แจ้งให้แพทย์ทราบหรือรับการรักษาในทันที หากคุณมีสัญญาณและอาการ ที่อาจเกี่ยวข้องกับผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้
- สัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ผดผื่น ลมพิษ อาการคัน รอยแดง อาการบวม แผลพุพอง หรือผิวหนังลอก โดยมีหรือไม่มีไข้ หายใจมีเสียงหวีด แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจติดขัด หรือมีปัญหากับการพูด เสียงแหบผิดปกติ หรือมีอาการบวมที่ปาก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
- สัญญาณของของปัญหาเกี่ยวกับตับอ่อน เช่น โรคตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) อย่างอาการปวดกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง ปวดหลังอย่างรุนแรง หรือท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรงหรืออาเจียน
- สัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ไม่สามารถปัสสาวะได้ ปริมาณปัสสาวะเปลี่ยนแปลง มีเลือดในปัสสาวะ หรือน้ำหนักขึ้นอย่างมาก
- เป็นไข้หรือหนาวสั่น
- ปวดหน้าอก มีแรงดัน หรือหัวใจเต้นเร็ว
- ปวดกระดูก
- วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- เห็นภาพหลอน (มองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่มีอยู่)
- เหงื่อออกมาก
- มองเห็นไม่ชัด
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลง
- ตาแพ้แสง
- ผิวไหม้จากแดด
- ผิวหนังมีปฏิกิริยาไวต่อแสง
- โรคมะเร็งผิวหนังบางชนิดอาจเกิดขึ้นได้ กับผู้ที่ถูกแสงแดดรบกวนเมื่อใช้ยาโวริโคนาโซลเป็นเวลานาน แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากไฝเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสีหรือขนาด หรือมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือเนื้องอกอื่นๆ
- อาจเกิดปฏิกิริยาผิวหนังที่รุนแรง เช่น กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome) หรือโรคท็อกซิกอีพิเดอร์มัลเนโครไลซิส (toxic epidermal necrolysis) อาการนี้สามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงที่ไม่หายไป และอาจทำให้เสียชีวิตได้ รับการรักษาในทันที หากคุณมีสัญญาณ อย่างรอยแดง บวม แผลพุพอง หรือผิวลอก (โดยมีหรือไม่มีไข้) ตาแดงหรือมีอาการระคายเคือง หรือมีแผลที่ปาก ลำคอ จมูก หรือดวงตา
- ในบางครั้ง อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับตับที่รุนแรง และอาจถึงแก่ชีวิต ติดต่อแพทย์ในทันที หากคุณมีสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ปัสสาวะสีคล้ำ รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่รู้สึกหิว ท้องไส้ปั่นป่วน หรือปวดท้อง อุจจาระสีอ่อน อาเจียน หรือดวงตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง
- ในนานๆ ครั้ง บางคนอาจมีปฏิกิริยาระหว่างการหยอดยาโวริโคนาโซล แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการหน้าแดง เป็นไข้ เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หมดสติ ท้องไส้ปั่นป่วน คัน หรือผดผื่นระหว่างกำลังหยอดยา
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาโวริโคนาโซลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาโวริโคนาโซลอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
ยาโวริโคนาโซลอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาโวริโคนาโซลสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม และการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลาม
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม และการติดเชื้อราที่รุนแรง เนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อรา
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม และการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคซูโดอะเลสเชอริโอซิส (Pseudo allescheriosis)
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรง เนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลา: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลา: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อราทั่วร่างกาย
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลา: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลา: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลา: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคฟูซาริโอซิส (Fusariosis)
ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
ขนาดยาปกติ:
ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:
- สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยม (Fusarium species) และเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม (Scedosporium apiospermum): 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาโวริโคนาโซลสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาการติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลาม
อายุ 2 ถึง 11 ปี:
- คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics): 9 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือรับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด: 350 มก./ครั้ง
- จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: 5 ถึง 7 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 12 ชั่วโมง
อายุ 12 ปีขึ้นไป:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยมและเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม: 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อรา
อายุ 2 ถึง 11 ปี:
- คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics): 9 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือรับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด: 350 มก./ครั้ง
- จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: 5 ถึง 7 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 12 ชั่วโมง
อายุ 12 ปีขึ้นไป:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยมและเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม: 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วัรหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาโรคปอดบวมจากเชื้อรา
อายุ 2 ถึง 11 ปี:
- คำแนะนำจากสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics): 9 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหรือรับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาสูงสุด: 350 มก./ครั้ง
- จากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: 5 ถึง 7 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 12 ชั่วโมง
อายุ 12 ปีขึ้นไป:
- ขนาดยาเริ่มต้น: 6 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นจำนวน 2 ครั้ง
- ขนาดยาปกติ: ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ:สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลามและการติดเชื้อราที่รุนแรงเนื่องจากเชื้อราสายพันธุ์ฟูซาเรี่ยมและเชื้อราเซโดสปอเรียมเอไพโอสเปอร์มัม: 4 มก./กก. ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง
รับประทาน:
- น้ำหนักน้อยกว่า 40 กก.: 100 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
- น้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไป: 200 กก. รับประทานทุกๆ 12 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการรักษา:
- การติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: ในการทดลองทางการแพทย์ ค่าเฉลี่ยระยะเวลาการรักษาสำหรับการรักษาด้วยการฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำอยู่ที่10 วัน (ช่วง 2 ถึง 85 วัน) และการรักษาด้วยการรับประทานยาอยู่ที่ 76 วัน (ช่วง 2 ถึง 232 วัน)
- แนวทางจากสมาคมโรคติดเชื้อแห่งสหรัฐอเมริกา (IDSA) สำหรับการติดเชื้อแอสเปอร์จิลลัสแบบลุกลาม: อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ สำหรับผู้ป่วยที่มีการกดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressed patients) ตลอดช่วงการกดภูมิคุ้มกัน และจนกว่าแผลจะหาย
- การติดเชื้อแคนดิดาแบบลุกลามในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำและการติดเชื้อแคนดิดาที่เนื้อเยื่อระดับลึกอื่นๆ: อย่างน้อย 14 วันหลังจากอาการหายไปหรือหลังจากผลการเพาะเชื้อเป็นบวกครั้งล่าสุด แล้วแต่ว่าอย่างใดจะนานกว่ากัน
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาผง
- ยาเม็ด
- ยาสำหรับฉีด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]